Pages

Monday, January 27, 2014

นิทานเวตาล เรื่องที่ 10 : ปริศนายากของเวตาล

                เวตาลกล่าวว่าครั้งนี้ข้าพเจ้าให้เกิดเขม่นตาซ้าย หัวใจเต้นแรงแลตาก็มืดมัว เป็นลางไม่ดีเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็จะเล่าเรื่องจริงถวายอีกเรื่องหนึ่ง แลเพราะเหตุข้าพเจ้าเบื่อหน่ายการถูกแบกสะพายไปมาเป็นหลายเที่ยวแล้ว แม้พระองค์ไม่ทรงเบื่อเป็นผู้แบกก็จริง ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาที่อยากทูลถามสักที ถ้าทรงตอบได้ พระปัญญาก็มากยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะมีในพระราชาพระองค์ใด

                ในโบราณกาลเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อ กรุงธรรมปุระ พระราชาทรงนาม ท้าวมหาพล มีมเหสีซึ่งแม้มีพระราชธิดาจำเริญวัยใหญ่แล้วก็ยังเป็นสาวงดงามถ้าจะเปรียบกับพระราชบุตรีก็คล้ายพี่กับน้องยิ่งกว่าแม่กับลูก ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะพระราชธิดามีอาการแก่เกินอายุ ที่จริงเป็นด้วยพระราชมารดาเป็นสาวไม่รู้จักแก่ แลความสาวของพระนางเป็นเครื่องประหลาดของคนทั้งหลาย

                เมื่อท้าวมหาพลจะสิ้นบุญนั้น เกิดศึกขึ้นที่กรุงธรรมปุระ ข้าศึกมีกำลังมากแลชำนาญการศึก ใช้ทั้งทองคำแลเหล็กเป็นอาวุธ คือใช้ทองคำซื้อน้ำใจนายทหารแลไพร่พลของพระราชาให้เอาใจออกห่างจากพระองค์ แลใช้เหล็กเป็นอาวุธฆ่าฟันคนที่ซื้อน้ำใจไม่ได้ ข้าศึกใช้ทองคำบ้าง เหล็กบ้างเป็นอาวุธดังนี้ จนในที่สุดรี้พลของท้าวมหาพลหรอร่อยย่อยยับไป

                ท้าวมหาพลเห็นจะรักษาชีวิตพระองค์ไว้ไม่ได้ด้วยวิธีรบ ก็คิดจะรักษาด้วยวิธีหนี จึงพาพระมเหสีแลพระราชธิดาออกจากกรุงไปในเวลาเที่ยงคืนจำเพาะสามพระองค์ พระราชาทรงพานางทั้งสองเล็ดรอดพ้นแนวทัพข้าศึกไปแล้วก็ตั้งพระพักตร์มุ่งไปยังเมืองซึ่งเป็นเมืองเดิมของพระมเหสี วันรุ่งขึ้น

                พระราชานำนางทั้งสองเดินไปจนเวลาสาย ถึงท้องทุ่งเห็นหมู่บ้านหมู่หนึ่งแต่ไกล ไม่ทรงทราบว่าเป็นหมู่บ้านโจร แต่ทรงสงสัยไม่วางพระหฤทัยจึงตรัสให้พระมเหสี แลพระราชธิดาหยุดนั่งกำบังอยู่ในแนวไม้ พระองค์ทรงถืออาวุธเดินตรงเข้าไปสู่หมู่บ้านเพื่อจะหาอาหารเสวยแลสู่นางทั้งสององค์

                ฝ่ายพวก ภิลล์ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้นประพฤติตัวเป็นโจรอยู่โดยปกติ ครั้นเห็นชายคนเดียวแต่งตัวด้วยของมีค่าเดินเข้าไปเช่นนั้น ก็คุมกันออกมาจะเข้าชิงทรัพย์ในพระองค์พระราชา ท้าวมหาพลทรงเห็นดังนั้นก็ทรงพระแสงธนูยิงพวกโจรล้มตายเป็นอันมาก ฝ่ายนายโจรได้ทราบว่าผู้มีทรัพย์มาฆ่าฟันพวกตนลงไปเป็นอันมากดังนั้นก็กระทำสัญญาณเรียกพลโจรออกมาทั้งหมดแล้วเข้าล้อมรบพระราชา ท้าวมหาพลองค์เดียวเหลือกำลังจะต่อสู้ป้องกันอาวุธพวกโจรได้ ก็สิ้นพระชนม์ลงในที่นั้น พวกภิลล์ก็ช่วยกันปลดเปลื้องของมีค่าออกจากพระองค์ แล้วพากันคืนเข้าสู่บ้านแห่งตน

                ฝ่ายพระมเหสีและพระราชธิดาทรงแอบอยู่ในแนวไม้เห็นพวกโจรเข้ากลุ้มรุมรบพระราชาก็ตกใจเป็นกำลังแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ครั้นเห็นพวกภิลล์ทำลายพระชนม์พระราชาลงไปแล้ว สองนางพระองค์สั่นพากันหนีห่างออกไปจากหมู่บ้านโจร ทางจะไปทางไหนหาทราบไม่ ความมุ่งมาดมีอยู่แต่ว่าจะหนีให้พ้นมือพวกภิลล์ซึ่งเป็นคนชาติต่ำช้าเท่านั้น นางทั้งสองทรงกำลังน้อยแต่อำนาจความกลัวพาให้เสด็จไปเป็นทางถึง ๔ โกรศ อ่อนเพลียพระกำลัง ทรงดำเนินต่อไปไม่ได้ ก็หยุดนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ริมทาง

                เผอิญมีพระราชาอีกพระองค์หนึ่ง ทรงนาม ท้าวจันทรเสน เสด็จออกยิงสัตว์ป่ากับพระราชบุตรจำเพาะสองพระองค์ กษัตริย์ทั้งสองทรงม้าไปตามแนวป่า เห็นรอยเท้าหญิงสองคนก็ทรงชักม้าหยุดดู พระราชบิดาตรัสว่า
                "รอยเท้าคนทำไมมีอยู่ในป่าแถบนี้" พระราชบุตรทูลว่า
                "รอยเท้าเหล่านี้เป็นรอยเท้าหญิงสองคน รอยเท้าชายคงจะโตกว่านี้" พระราชาตรัสว่า
                "เจ้าของรอยเท้าเหล่านี้เป็นหญิงจริงอย่างเจ้าว่า แลน่าประหลาดที่มีหญิงมาเดินอยู่ในป่า แต่ถ้าจะพูดตามเรื่องในหนังสือ หญิงที่พระราชาพบในป่ามักจะงามกว่าหญิงที่จะหาได้ในกรุงเหมือนดอกไม้ป่าที่งามกว่าดอกไม้ในสวน มาเราจะตามนางทั้งสองนี้ไป ถ้าพบนางงามจริงดังว่า เจ้าจงเลือกเอาเป็นเมียคนหนึ่ง" พระราชบุตรทูลตอบว่า
                "รอยเท้านางทั้งสองนี้มีขนาดไม่เท่ากัน แม้เท้ามีขนาดย่อมทั้งสองนางก็ยังก็ยังใหญ่กว่ากันอยู่คนหนึ่ง ข้าพเจ้าจะเลือกนางเท้าเล็กเป็นภริยาข้าพเจ้า เพราะคงจะเป็นสาวน้อยตามขนาดแห่งเท้า ส่วนนางเท้าเขื่องนั้นคงจะเป็นสาวใหญ่ ขอพระองค์จงรับไว้เป็นราชชายา" ท้าวจันทรเสนตรัสว่า
                "เหตุไฉนเจ้าจึงกล่าวดังนี้ พระราชมารดาของเจ้าสิ้นพระชนม์ไปไม่กี่วัน เจ้าจะอยากมีแม่เลี้ยงเร็วเท่านี้เจียวหรือ" พระราชบุตรทูลตอบว่า
                "ขอพระองค์อย่ารับสั่งเช่นนั้น เพราะบ้านของผู้เป็นใหญ่ในครอบครัวนั้น ถ้าไม่มีแม่เรือนก็เป็นบ้านที่ว่าง อนึ่งพระองค์ย่อมจะทรงทราบคาถาซึ่งมูลเทวะบัณฑิตแต่งไว้ มีความว่า 'ชายผู้ไม่ใช่คนโง่ไม่ยอมคืนสู่เรือนซึ่งไม่มีนางที่รักผู้มีรูปงามคอยรับรองในขณะที่กลับถึงเรือนนั้น แม้เรียกว่าเรือนก็ไม่ใช่ อื่น คือคุกซึ่งไม่มีโซ่เท่านั้นเอง' พระองค์ย่อมทรงทราบได้ด้วยพระองค์เองว่า ความสุขแห่งพ่อบ้านซึ่งอยู่โดดเดี่ยวนั้นมีไม่ได้ในบ้าน แลมีไม่ได้นอกบ้าน เพราะไม่มีหวังว่าจะได้ความสุข เมื่อกลับมาสู่เรือนแห่งตน"

                ท้าวจันทรเสนทรงนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสตอบพระราชบุตรว่า
                "ถ้านางเท้าเขื่องมีลักษณะเป็นที่พึงใจ ข้าก็จะทำตามคำเจ้าว่า"

                ครั้นกษัตริย์ทั้งสององค์ทรงกระทำสัญญาแบ่งนางกันดังนี้แล้ว ก็ทรงชักม้าตามรอยเท้านางเข้าไปในป่า สักครู่หนึ่งเห็นสองนางนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ กษัตริย์สององค์เสด็จลงจากม้าเข้าไปถามนาง ทั้งสองนางก็เล่าเรื่องให้ทรงทราบทุกประการ พระราชากับพระราชบุตรก็เชิญนางทั้งสองขึ้นหลังม้าองค์ละองค์ นางพระบาทเขื่องคือพระราชธิดาขึ้นทรงม้ากับท้าวจันทรเสน นางพระบาทเล็กคือพระมเหสีขึ้นทรงม้ากับพระราชบุตร สี่องค์ก็เสด็จเข้ากรุง

                กล่าวสั้นๆ ท้าวจันทรเสนแลพระราชบุตรก็ทำการวิวาหะทั้งสองพระองค์แต่กลับคู่กันไป คือพระราชบิดาทรงวิวาหะกับพระราชบุตรี พระราชบุตรทรงวิวาหะกับพระมเหสี แลเพราะเหตุที่คาดขนาดเท้าผิด ลูกกลับเป็นเมียพ่อ แม่กลับเป็นเมียลูก ลูกกลับเป็นแม่เลี้ยงของผัวแม่ตัวเอง แลแม่กลับเป็นลูกสะใภ้ของผัวแห่งลูกตน แลต่อมาบุตรแลธิดาก็เกิดจากนางทั้งสอง แลบุตรแลธิดาแห่งนางทั้งสองก็ก็มีบุตรแลธิดาต่อ ๆ กันไป

                เวตาลเล่ามาเพียงนี้ก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่าบัดนี้ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาทูลถามพระองค์ว่า ลูกท้าวจันทรเสนที่เกิดจากธิดาท้าวมหาพล แลลูกมเหสีท้าวมหาพลที่เกิดกับพระราชบุตรท้าวจันทรเสนนั้นจะนับญาติกันอย่างไร พระวิกรมาทิตย์ได้ทรงฟังปัญหาเวตาลก็ทรงตรึกตรองเอาเรื่องพ่อกับลูก แม่กับลูก แลพี่กับน้องมาปนกันยุ่ง แลมิหนำซ้ำมีเรื่องแม่เลี้ยงกับแม่ตัวแลลูกสะใภ้กับลูกตัวอีกเล่า พระราชาทรงตีปัญหายังไม่ทันแตก พอทรงนึกขึ้นได้ว่าการพาเวตาลไปส่งให้แก่โยคีนั้น จะสำเร็จได้ก็ด้วยไม่ทรงตอบปัญหา จึงเป็นอันทรงนิ่งเพราะจำเป็นแลเพราะสะดวก แลรีบสาวก้าวทรงดำเนินเร็วขึ้น ครั้นเวตาลทูลเย้าให้ตอบปัญหาด้วยวิธีกล่าวว่าโง่ จะรับสั่งอะไรไม่ได้ก็ทรงกระแอม เวตาลทูลถามว่า
                "รับสั่งตอบปัญหาแล้วไม่ใช่หรือ"
                พระราชาไม่ทรงตอบว่ากระไร เวตาลก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วทูลถามว่า
                "บางทีพระองค์จะโปรดฟังเรื่องสั้นๆ อีกสักเรื่องหนึ่งกระมัง" ครั้งนี้แม้แต่กระแอมพระวิกรมาทิตย์ก็ไม่ทรงกระแอม เวตาลจึงกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า
                "เมื่อพระองค์ทรงจนปัญญาถึงเพียงนี้แล้ว บางทีพระราชบุตรซึ่งทรงปัญญาเฉลียวฉลาดจะทรงแก้ปัญหาได้บ้างกระมัง"
                แต่พระธรรมธวัชพระราชบุตรนิ่งสนิททีเดียว


ปลายเรื่อง

                  เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งอึ้งมิได้ออกพระโอษฐ์ตรัสประการใด ดังนั้นเวตาลก็แสดงวาจาอาการประหลาดใจเป็นที่สุด กล่าวชมว่าทรงตั้งมั่นพระหฤทัยดีนัก พระปัญญาราวกับเทวดาแลมนุษย์อื่นที่มีปัญญา จะหามนุษย์เสมอมิได้ แต่ถึงเวตาลจะเห็นแล้วว่าพระราชาตั้งพระหฤทัยจะไม่รับสั่ง ก็ยังไม่ยอมสนิท ยังกล่าวยั่วโดยเพียรจะให้รับสั่งให้จงได้ เวตาลกล่าวว่า

                   "ข้าพเจ้าขอถวายพระพรให้ทรงรับความสำราญ เป็นผลแห่งการที่ทรงนิ่งครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงเพียรมาหลายครั้งแล้วที่จะห้ามความช่างพูดในพระองค์ แต่ก็ไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะไม่ทูลถามว่าการที่ทรงระงับความช่างพูดนั้น เป็นด้วยความถ่อมพระองค์ แลความสามารถกุมพระสติไว้ได้ หรือเป็นด้วยความโง่แลไม่สามารถเท่านั้นเอง
                การที่ข้าพเจ้าไม่ทูลถามว่า ไม่ทรงตอบเพราะเหตุไรนั้น ก็เพราะข้าพเจ้าต้องการจะไว้พระพักตร์ แลพระองค์ก็คงจะทรงทราบแล้วว่า ข้าพเจ้าสงสัยว่าไม่ทรงตอบเพราะพระปัญญาทึบ ไม่ทรงทราบว่าจะตอบว่ากระไร หาใช่เป็นด้วยมีพระปัญญาจะตอบได้ถูกต้อง แต่ไม่ทรงตอบเพราะกุมพระสติไว้ได้ไม่ การที่ไม่ทรงตอบปัญหาครั้งนี้ ก็กล่าวได้ว่าเป็นด้วยทรงเชื่อคำแนะนำของข้าพเจ้า แลข้าพเจ้ามีความปลื้มที่ทรงเชื่อคำสั่งสอนของเวตาลจึงไม่ทูลซักถามว่า ทรงเชื่อเพราะความฉลาดกุมสติไว้ได้ หรือเป็นเพราะโง่ไม่รู้จะตอบว่ากระไร แลความไม่ตอบก็เป็นความเชื่อคำสั่งสอนของข้าพเจ้าไปในตัว"

                   พระวิกรมาทิตย์ทรงกัดริมพระโอษฐ์เพื่อจะห้ามพระองค์เองมิให้ตรัส แลก็ห้ามไว้ได้ เวตาลกล่าวต่อไปว่า
                   "เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกความทึบแห่งพระปัญญา แลได้รับทุกข์คืออัดอั้นตันพระหฤทัยถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เกิดสงสาร จึงยอมระงับความมุ่งหมายซึ่งมีมาแต่ในเบื้องต้นว่า จะทำให้ทรงดำเนินทวนไปทวนมาจนสิ้นพระชนม์ลงในระหว่างทางเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสสละศพที่สิงอยู่เดี๋ยวนี้ เข้าสิงศพพระราชาลองดูว่ามีรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง อนึ่งข้าพเจ้าได้ถวายสัญญาไว้แต่ในชั้นเดิมว่าจะถวายประโยชน์อย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใครอื่นจะถวายได้ แต่ก่อนที่จะถวายนั้น ข้าพเจ้าขอทูลถามว่า พระองค์จะทรงขยับย่ามให้ข้าพเจ้าหายใจสะดวกขึ้นอีกหน่อยจะได้หรือไม่"
                   พระธรรมธวัชพระราชบุตรได้ยินเวตาลทูลถามดังนั้น ก็จับแขนเสื้อทรงพระราชบิดากระตุกเพื่อจะเตือนให้รู้พระองค์ มิให้ตรัสตอบเวตาล แต่พระราชบิดารู้สึกพระองค์อยู่แล้ว แม้ใครจะเอาม้ามาลากหลายคู่ก็ไม่ฉุดให้พระวาจาออกจากพระโอษฐ์ได้
                   ฝ่ายเวตาลเมื่อเห็นพระราชาทรงนิ่งอยู่ดังนั้นก็กล่าวต่อไปว่า
                   "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นักรบ พระองค์จงรำลึกถึงคำซึ่งอสูรปัถพีบาลได้ทูลไว้ว่า ผู้ใดมุ่งจะฆ่าชีวิตพระองค์ ๆ อาจตัดหัวผู้นั้นเสียก่อนได้โดยคลองธรรม แลในการข้างหน้าซึ่งจะเป็นไปตั้งแต่บัดนี้ พระองค์พึงปฏิบัติตามคำที่อสูรกล่าวนั้น ส่วนพ่อค้าพลอยซึ่งถวายทับทิมแก่พระองค์เป็นอันมาก แลโยคีชื่อศานติศีลซึ่งกระทำพิธีอยู่ที่ป่าช้าริมฝั่งแม่น้ำโคทาวรีนั้น คือคน ๆ เดียวกัน แลมิใช่ใครอื่น คือโยคีซึ่งพระราชบิดาแห่งพระองค์ได้กระทำเหตุให้โกรธ แลมาดหมายจะแก้แค้นเป็นเวรกันอยู่จนบัดนี้ ส่วนข้าพเจ้าผู้เป็นลูกพ่อค้าน้ำมันนั้น โยคีกลัวว่าจะกระทำการกีดกั้นความเป็นใหญ่ในโลกของเขา จึงฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยอำนาจตบะแลพาศพข้าพเจ้ามาแขวนห้อยหัวไว้ที่ต้นอโศกเป็นเครื่องล่อลวงพระองค์"

                   "โยคีนั้นเป็นผู้ใช้ให้พระองค์มาปลดข้าพเจ้าแบกไปให้แก่เขา แลเมื่อพระองค์ทรงทิ้งข้าพเจ้าลงที่เท้าเขาในคืนวันนี้ เขาจะสรรเสริญความกล้าแลความเพียรของพระองค์ขึ้นไปจนถึงฟ้า ข้าพเจ้าขอทูลให้รู้พระองค์แลระวังพระองค์จงหนัก เพราะโยคีคงพาพระองค์ไปที่หน้าเทวรูปนางทุรคา แลเมื่อเขาได้บูชาแล้ว เขาจะเชิญให้พระองค์เคารพเทวรูปโดยอัษฎางคประณต"
                   ตรงนี้เวตาลทูลกระซิบค่อยๆ ประหนึ่งเกรงว่าจะมีผู้ได้ยินแลนำคำที่กล่าวนั้นไปบอกโยคีศานติศีล ครั้นทูลเสร็จแล้ว เวตาลก็ออกจากศพ ทำให้ย่ามซึ่งพระราชาทรงแบกนั้นเบาเข้าเป็นอันมาก แต่เมื่อได้ออกจากย่ามแล้วยังลอยกล่าวสรรเสริญพระราชาแลพระราชบุตรอยู่อีก คำสรรเสริญนั้นเป็นไปในทางที่ชมว่ารู้สึกความโง่แลลดหย่อนราชมานะอันเป็นคุณความดีซึ่งถ้ามีในตัวใครผู้นั้นย่อมมีความสุขในโลก

                   ครั้นเวตาลไปพ้นแล้ว พระวิกรมาทิตย์ก็รีบทรงดำเนินไปถึงป่าช้า พบโยคีกำลังนั่งเคาะกะโหลกหัวผีกล่าวไม่หยุดปากว่า
                   "โห กาลี โห ทุรคา โห เทวี"
                   รอบตัวโยคีนั้น มากไปด้วยรูปกายอันน่าเกลียดน่ากลัว คือผีอสูรทั้งหลายสำแดงรูปต่างๆ กัน บ้างก็เป็นนาค บ้างก็เป็นภูต บ้างก็เป็นรูปแพะใหญ่ซึ่งผีแห่งผู้ฆ่าพราหมณ์ได้เข้าสิงอยู่ บ้างก็เป็นหนอนใหญ่ซึ่งผีแห่งพราหมณ์กินเหล้าเป็นผู้สิง บ้างก็เป็นรูปคนหน้าเป็นม้าแลอูฐแลลิง บ้างก็เป็นรูปคนขาข้างเดียว หูข้างเดียวแลเป็นผีดูดเลือด เพราะเมื่อยังไม่ตายได้ขโมยของวัด บ้างก็มีรูปเป็นแร้งแลเป็นผีเลว ๆ เพราะเคยเป็นชู้กับเมียอุปัชฌาย์ หรือได้เมียเป็นคนต่ำชาติ หรือเป็นผีทำบาปอื่นต่าง ๆ บ้างก็เป็นรูปสัตว์อันน่าเกลียดแลน่ากลัว กัดกินท่อนแห่งศพมนุษย์ แลทำเสียงกึกก้องไปทั้งป่าช้า

                   ครั้นพระวิกรมาทิตย์เสด็จเข้าไปใกล้จะถึงตัวโยคี โยคีก็ยกแขนขึ้นเป็นสัญญาณเสียงทั้งหลายก็หยุดนิ่งหมด พระราชาก็ทรงทิ้งย่ามศพลงตรงหน้าโยคี โยคีก็แสดงความยินดี แลกล่าวสรรเสริญความมั่นคงของพระราชาเป็นอันมาก แล้วโยคีก็หยิบเอาศพซึ่งเป็นศพเด็กออกมาจากย่าม แล้วหันหน้าไปทางทิศใต้ ร่ายมนตร์อยู่ครู่หนึ่ง ศพนั้นก็มีอาการเหมือนเป็น แล้วโยคีก็ถวายของเป็นเครื่องบูชาพระเทวี คือ พลู ดอกไม้ ไม้จันทน์ ข้าว ลูกไม้ แลเนื้อมนุษย์ซึ่งไม่เคยถูกคมเหล็ก
แล้วเอาเชื้อเพลิงใส่ลงในกะโหลกหัวผี จุดไฟเป่าจนลุกเป็นเปลวใช้แทนโคมส่องทาง นำพระราชาแลพระราชบุตรไปยังเทวรูปนางกาลีเป็นรูปหญิงดำคอขาดจากตัวครึ่งหนึ่ง ลิ้นแลบออกมาจากปากซึ่งอ้ากว้าง ตาแดงเหมือนคนเมา คิ้วแดง แลผมซึ่งเป็นเส้นหยาบนั้นห้อยคลุมไปจนถึงเท้า เสื้อผ้าที่คลุมนั้นคือหนังช้างแห้ง สะเอวรัดด้วยมาลัยร้อยด้วยมือแห่งยักษ์ซึ่งนางฆ่าตายในขณะรบ มีศพสองศพห้อยเป็นกุณฑลที่หูสองข้าง แลสร้อยคอนั้นเป็นโซ่กะโหลกหัวคน มือทั้งสี่ถือดาบ บาศ ตรี แลคทา เท้าหนึ่งเหยียบอกพระศิวะผู้สามี อีกเท้าหนึ่งเหยียบน่อง หน้าเทวรูปอันน่ากลัวนี้ มีเครื่องใช้ในการบูชาต่างๆ คือตะเกียง หม้อ แลภาชนะอื่นๆ กับสังข์แลฆ้องเป็นต้น ของเหล่านี้มีกลิ่นเลือดทั้งนั้น    

                   ครั้นโยคีพาพระราชาแลพระราชบุตรไปถึงหน้าเทวรูปแล้ว ก็ก้มลงวางกะโหลกศีรษะที่ถือเป็นโคมนำทางมานั้นลงกับพื้น แล้วหยิบดาบมาถือแอบหลังไว้ แลทูลพะราชาว่า
                   "ข้าแต่พระราชา พระองค์ได้ทรงกระทำตามสัญญาแล้วโดยทางที่ชอบทุกประการ แลเพราะเหตุที่พระองค์เสด็จมาในที่นี้ พิธีของข้าพเจ้าจะเป็นอันสำเร็จดังหมาย พระอาทิตย์ก็จะขับรถข้ามเขาเบื้องตะวันออกอยู่แล้ว เชิญพระองค์ทรงเคารพพระผู้เป็นเจ้าโดยอัษฎางคประณต แลพระเกียรติของพระองค์จะรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป สิธิทั้งแปด แลนิธิทั้งเก้า จะได้เป็นของพระองค์ แลความจำเริญจะมียืนยาวไปชั่วกาลนาน"

                   พระวิกรมาทิตย์ทรงฟังดังนั้น รำลึกได้ถึงคำเวตาล จึงรับสั่งแก่โยคีโดยอาการเคารพว่า
                   "ข้าพเจ้าพระราชาไม่เคยกระทำอัษฎางคประณต ขอท่านผู้เป็นอาจารย์จงทำให้ข้าพเจ้าดูก่อน แล้วข้าพเจ้าจะทำตาม"

                   โยคีผู้ฉลาดขุดหลุมไว้ล่อพระราชา ก็ตกหลุมที่ตัวเองทำไว้ ครั้นโยคีก้มตัวลงกระทำอัษฎางคประณต พระวิกรมาทิตย์ก็ชักพระแสงดาบออก ฟาดถูกศีรษะโยคีขาดกระเด็นไป ขณะนั้นเทวรูปคว่ำลงมา หากพระธรรมธวัชพระราชบุตรจับพระกรพระราชบิดาเหนี่ยวพระองค์กระชากไปโดยแรง พระราชาจึงหลีกพ้นเทวรูปรอดชีวิตไปได้ ในทันใดนั้นมีเสียงกล่าวในอากาศว่า
                   "บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจจะฆ่าตนได้โดยคลองธรรม"
                   แลมีเสียงดนตรีแลคำอวยชัยมาจากในฟ้า ทั้งดอกไม้ทิพย์ก็ตกกล่นเกลื่อนไป พระอินทร์แวดล้อมด้วยเทพบริวารก็เสด็จมาเฉพาะพระพักตร์พระวิกรมาทิตย์ แลตรัสให้ขอพรๆ หนึ่ง พระวิกรมาทิตย์ทูลว่า
                   "ข้าแต่พระจอมสวรรค์ขอพระองค์จงประทานพรให้เรื่องของข้าพเจ้านี้ ปรากฏไปในโลกชั่วกาลนาน" พระอินทร์ตรัสว่า
                   "เราให้พรแก่ท่านดังขอ แลตราบใดพระอาทิตย์แลพระจันทร์ยังส่องอยู่ในฟ้า แลฟ้ายังครอบดิน ตราบนั้นเรื่องนี้ปรากฏไปในโลก"

                   ครั้นพระอินทร์เสด็จหายไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ทรงยกศพทั้งสองทิ้งเข้าไปในกองไฟ ก็เกิดมีพีระสองตน พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า
                   "เมื่อข้าเรียกเจ้าจงมาทันที"
                   แล้วก็พาพระราชบุตรคืนเข้าพระราชวัง ทรงปกครองบ้านเมืองเป็นสุขชั่วกาลนาน จนเมื่อพระองค์ซึ่งมีความตายเป็นสภาพเสด็จสู่ปรโลกแล้ว พระเกียรติซึ่งมิรู้ดับยังปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้

Fusion KM Social Network

Total Pageviews / สถิติผู้เข้าชมเว็บ